การบริหารโดยการเรียนจากชีวิตสัตว์/Management by Animals (MBA) # 9

 

Cat (แค้ท = แมว)


 จากคำ "Camel" (อูฐ) เราก็มาถึงคำว่า "Cat" หรือแมว ซึ่งค่อนข้างหนักใจ เพราะคงจะต้องเขียนค่อนข้างยาว เนื่องจาก "ทาสแมว" ที่เข้ามาอ่านมีเยอะ ถ้าเขียนไม่ดีก็อาจถูกด่า เขียนไม่ครบก็ต้องถูกต่อว่า จึงนับว่าลำบากใจมากที่จะต้องเขียนถึงสัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่มีฤทธิ์ร้ายเหลือ เช่น "แมวน้อย" นี้

แมวเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กที่สุดที่ได้รับการคุ้มครองโดยมนุษย์ ต้นตระกูลมาจากเสือไซบีเรียซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 40 เซนติเมตร กรงเล็บที่หดได้ของพวกมันมีประโยชน์มากที่ช่วยรักษาสมดุลในการจับเหยื่อและป้องกันตัวเองจากภัยคุกคาม หนึ่งในลักษณะของแมวคือฟันเขี้ยวอันแหลมคม ด้วยความสามารถในการได้ยินและการได้กลิ่นทำให้แมวที่น่ารักกลายเป็นนักล่าที่เก่งกาจได้ 

แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวสมัยอียิปต์โบราณ ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษในลอนดอนมีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากพีระมิดโบราณแห่งอียิปต์ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว เมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้น มีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบันที่เรียกว่าแมวอะบิสซิเนีย 

แมวแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ แมวขนยาว (longhaired cat) และ แมวขนสั้น (shorthaired cats) มีแมวพันธุ์ต่าง ๆ มากกว่า 30 พันธุ์ทั่วโลกและแยกย่อยออกไปอีกเนื่องจากการดัดแปลงพันธุกรรมรวม ๆ ทั้งหมดก็กว่า 100 สายพันธุ์ 

แมวสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงมาก มนุษย์โดยทั่วไปเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดผิวเมื่อมีอุณหภูมิประมาณ 38°C แต่แมวแสดงความรู้สึกไม่สบายผิวของพวกมันเมื่ออุณหภูมิถึงราว ๆ 52°C และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 56°C ถ้าพวกมันมีน้ำดื่มตลอดเวลา 

ขี้แมวจะแห้งและฉี่จะมีความเข้มข้นสูง ซึ่งทั้งสองอย่างคือการปรับตัวที่จะช่วยให้แมวเก็บน้ำได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (มิน่า ฉี่แมวเหม็นสุด ๆ 5555!) ไตของแมวมีประสิทธิภาพเพื่อให้แมวสามารถอยู่รอดได้โดยกินอาหารที่มีเฉพาะเนื้อสัตว์โดยที่ไม่ต้องกินน้ำเพิ่มเติมและยังสามารถดื่มน้ำทะเลที่เค็มได้ด้วย (หมาไม่เหมือนแมวเพราะหมากินเค็มไม่ได้) 

ความเป็นสัตว์กินเนื้อของแมว ทำให้แมวจะต้องการโปรตีนประมาณ 20% ในอาหาร แมวจะกินเหยื่อของพวกมันทั้งหมดเพราะเป็นวิธีที่จะได้รับแร่ธาตุโดยการย่อยกระดูกสัตว์ ข้อพึงทราบ: อาหารแมวที่มีไม่มีส่วนประกอบจากเนื้อสัตว์จะก่อให้เกิดการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง 

ฆาตกรตัวน้อย! 

แมวเป็นสัตว์ที่เป็นภัยคุกคามต่อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในสหรัฐฯ แมวฆ่านกปีละ 2,000–4,000 ล้านตัว ทั้งแมวที่มีเจ้าของ หรือแมวจร ส่วนในออสเตรเลียปีละ 70 ล้านตัว และอังกฤษปีละ 27 ล้านตัว รวมแล้วทั่วโลกประมาณ 7,000–20,000 ล้านตัวต่อปี  ในรอบ 500 ปีที่ผ่านมา แมวได้ทำให้สัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้ง นก สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์ฟันแทะ สัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกสูญพันธุ์ไปแล้วถึง 430 ชนิด เพราะแมวเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณนักล่า บางทีล่าหรือฆ่าเพราะความอยากรู้อยากเห็นโดยที่ไม่ได้กินเหยื่อเป็นอาหาร 

อุปนิสัยของแมว 

แมวบ้านเป็นสัตว์หากินกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แมวบ้านอาจดูเหมือนกับเป็นสัตว์ที่นอนตลอดทั้งวัน แต่ความเป็นจริงแมวจะหลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ สลับกัน มันตื่นขึ้นมาเพื่อจะสำรวจเสียงหรือสิ่งแปลกปลอมรอบตัว ถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจก็จะหลับต่อ แม้ในขณะที่หลับหูของแมวก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่จะพลิกหันไปหันมาอยู่เสมอเพื่อดักฟังเสียงแปลกปลอม เช่น เสียงความถี่สูงซึ่งอาจจะเป็นเสียงของเหยื่อ หูของแมวสามารถฟังเสียงความถี่สูงกว่าที่มนุษย์ได้ยินมาก 

แมวชอบถูและกลิ้งเกลือกตัวกับสิ่งของหรือพื้นที่มีกลิ่นแรง แล้วกลิ่นนั้นก็จะติดกับตัวแมวบ้านไปด้วย พฤติกรรมเช่นนี้เชื่อว่าเป็นสัญชาติญาณที่ติดมาจากธรรมชาติ เพราะกลิ่นภายนอกจะกลบกลิ่นของตัวเอง ซึ่งช่วยในการล่าเหยื่อ แม้ว่าแมวไม่จำเป็นต้องหาอาหารเองเพราะมีคนให้อาหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าแมวจะล่าเหยื่อเองไม่ได้ แมวยังล่าสัตว์รอบ ๆ บ้านหลายชนิด เช่น หนู กระรอก ตุ่น หนูผี กระต่าย ค้างคาว รวมถึงนกอีกหลายชนิดเช่น นกกระจอก นกกิ้งโครง นกกางเขน นกพิราบ ไก่ นกกระทา หรืออาจจะกินแมลง และปลาด้วยก็ได้ (ปลาทองในตู้ของชอบ!) บางครั้งแมวอาจกินหญ้าหรือพืชใบเขียวบางชนิด พฤติกรรมที่แมวกินพืชเชื่อว่าอาจเป็นความต้องการแร่ธาตุหรือวิตามินบางชนิดที่ไม่มีอยู่ในอาหารตามปกติ 

แมวอาจกลืนขนจากลำตัวของมันเองเข้าไปในกระเพาะจนขนรวมกันเป็นก้อนอยู่ในกระเพาะ สิ่งนี้อาจเป็นเจตนาของมันเองเพื่อให้ก้อนขนเข้าไปบุหรือป้องกันกระเพาะจากเศษกระดูกอันแหลมคมจากสารพัดเหยื่อที่มันกินเข้าไป 

แมวบ้านเป็นสัตว์ที่อยู่โดยลำพังเป็นส่วนใหญ่ แต่แมวก็มีสังคมในหมู่แมวที่อยู่ในท้องที่เดียวกัน แมวแต่ละตัวมีการจัดลำดับชนชั้นในสังคมแมว ในสถานที่ ๆ มีอาหารหรือเหยื่อให้กินมาก แมวอาจรวมตัวกันเป็นชุมชนแมวขนาดใหญ่และมีสัมพันธ์ที่ดีถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน แมวในสังคมหนึ่งจะรู้จักมักคุ้นกันโดยมักอาศัยการจำแนกกลิ่น เช่น กลิ่นฉี่ หรือกลิ่นจากต่อมกลิ่นที่แมวถูกเข้ากับสิ่งของต่าง ๆ 

ความสามารถพิเศษของแมว 

ดัดจริตทำเสียงเหมือนลูกแมว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดพอโตมาเสียงจะเปลี่ยนเป็นแบบผู้ใหญ่ แต่แมวไม่ใช่ โตแค่ไหน แมวก็ยังทำเสียงเหมือนตัวมันเองยังตัวเล็ก ๆ  ซึ่งเรียกร้องอารมณ์ของเจ้าของ ดึงดูดความรักจากเจ้าของ จนทำให้เกิดความอิจฉาในหมู่สัตว์เลี้ยงอื่นในบ้าน เช่น หมา 

การตอบสนองอย่างรวดเร็ว คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งของแมวคือสามารถตีลังกาม้วนตัวลงพื้นด้วยเท้า แม้ว่าจะตกจากที่สูงเกือบ 10 ฟุต แมวจะบิดลำตัวโดยสัญชาตญาณเพื่อวางน้ำหนักลงบนอุ้งเท้า ปฏิกิริยาตอบสนองคือการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันทุกครั้งที่พวกมันตกจากที่สูงและพวกมันสามารถปรับตำแหน่งได้เมื่ออยู่ห่างจากพื้นเพียง 3 ฟุตเท่านั้น 

การมองเห็นตอนกลางคืน ม่านตาของแมวช่วยให้สามารถมองเห็นอะไรก็ได้ในที่มืดโดยต้องใช้แสงเพียง 15% -20% เท่านั้น เมื่อแมวรับแสงมาก ๆ รูม่านตาของพวกมันอาจขยายไปจนถึงพื้นผิวที่เปิดรับแสงทั้งหมดและหรี่เล็กเมื่อแสงจ้าเกินไป 

ความสามารถในการได้ยินเสียง แมวสามารถได้ยินเสียงที่หลากหลายตั้งแต่ 500 Hz ถึง 32 kHz (โดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วไปจะได้ยินตั้งแต่ 20 Hz ถึง 15 kHz) 

การเดินแบบแมว (Cat Walk) แมวเดินด้วยขาทั้งสี่ข้างโดยใช้นิ้วเท้าเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ขาแต่ละข้างขยับเข้าหากันซึ่งช่วยให้พวกมันนิ่งขณะล่าเหยื่อและหลีกเลี่ยงการถูกตรวจเจอ 

แมวกรน ในกรณีส่วนใหญ่แมวจะกรนเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย แสดงถึงความสงบ แมวกรนเมื่อมีความสุขหรือแสดงถึงการเข้าหาง่าย แต่บางทีการกรนก็เพื่อสื่อสารอารมณ์และความต้องการอื่น ๆ 

บทเรียนที่ได้จากแมว 

1. การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต บางคนบอกว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” แต่ทำไปทำมาตายเพราะหัวใจวาย ความดันสูง ฯลฯ แมวนอนหลับเฉลี่ย 15 ชั่วโมงต่อวัน บางวัน แมวนอนหลับได้มากถึง 20 ชั่วโมงภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง มนุษย์เราจึงสมควรนอนหลับพักผ่อนให้พอคือประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 

2. อย่ากลัวในการทำให้ตัวเองได้รับความสนใจ แมว “อ้อน” เก่งแค่ไหน ใคร ๆ ก็รู้ เพราะฉะนั้น จงเรียนจากแมว แต่อย่าให้เกินพอดี เพราะจะกลายเป็นการประจบประแจง! 

3. กินอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัวเป็นประจำ เมื่อ “ทาสแมว” กินข้าว เราจะเห็นแมวมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเสมอ เพราะฉะนั้น จงเรียนจากแมวเพื่อความอบอุ่นของครอบครัว 

4. ยืนหยัดเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด  บางครั้ง เราอาจหมั่นไส้ที่แมวจู้จี้ ไม่กินสิ่งที่เราให้ แต่นั่นเพราะมันรู้ว่านั่นไม่ใช่สะเป็ก เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจออะไรที่ไม่ใช่ ก็อย่าเอามัน  เข้าใจ๊? 

5. อย่าหยุดฝัน  ทุกสิ่งที่แมวทำในระหว่างวันจะถูกประมวลผลในขณะที่พวกมันหลับและฉายซ้ำอีกครั้งในช่วงเวลาฝัน  เราจึงมักสังเกตเห็นหนวดที่กระตุก เสียงกรนและอุ้งเท้าที่ขยับไปมาเมื่อแมวหลับ การฝันเป็นความพยายามของแมวในการทำความเข้าใจข้อมูลที่ประมวลผลในสมอง เราเอาก็สามารถทบทวนความฝันว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน อย่างไร แต่ไม่ใช่ฝันเฟื่องไร้สาระ 

6. ความอยากรู้อยากเห็น แมวเป็นสัตว์กินเนื้อก็จริงแต่มีพฤติกรรมเผือกมาก แต่นั่นคือกระบวนการของความอยากรู้อยากเห็น ถ้าเราเลียนแบบแมวข้อนี้ จะฉลาดขึ้นเยอะ! 

7. การเอาใจใส่ดูแลตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับแมวคือแมวดูแลสุขอนามัยของตัวเองดีมาก หลังจากกินอาหาร พวกมันจะใช้เวลาในการทำความสะอาดตัวเอง เมื่อเรากอดมันมากเกินไป แมวก็จะใช้เวลาในการไซ้ขนของมัน เราเองก็ต้องหมั่นดูแลสุขอนามัยส่วนตัวและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม 

ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ ขอแนะนำให้หาแมวมาเลี้ยงซักตัวแล้วสังเกตสิ่งที่แมวสอน!


Comments

Popular posts from this blog

การบริหารโดยการเรียนจากชีวิตสัตว์/Management by Animals (MBA) # 15

การบริหารโดยการเรียนจากชีวิตสัตว์/Management by Animals (MBA) # 11

การบริหารโดยการเรียนจากชีวิตสัตว์/Management by Animals (MBA) # 13